ทำความเข้าใจ “สาเหตุของอาการหูอื้อ” และ 6 วิธีบรรเทาอาการอย่างปลอดภัย

ทำความเข้าใจ “สาเหตุของอาการหูอื้อ” และ 6 วิธีบรรเทาอาการอย่างปลอดภัย

สารบัญ

  1. บทนำ
  2. สาเหตุที่ควรระวัง
  3. 9 สาเหตุสำคัญของอาการหูอื้อ
  4. 6 วิธีบรรเทาอาการหูอื้อ
  5. Q&A

บทนำ

อาการหูอื้อคือการได้ยินเสียงในหูหรือในศีรษะ KUBET ทั้งที่ไม่มีแหล่งกำเนิดเสียงภายนอก เช่น เสียงหึ่ง ๆ เสียงจิ้งหรีด เสียงลมฟู่ หรือเสียงคล้ายการสั่นสะเทือน อาการนี้อาจเกิดขึ้นชั่วคราว หรืออาจรบกวนอย่างต่อเนื่อง หากต้องการแก้ไขอย่างถูกวิธี KUBET จำเป็นต้องเข้าใจสาเหตุของอาการก่อนแม้หลายคนอาจเคยมีอาการหูอื้อแบบฉับพลัน เช่น หลังดูคอนเสิร์ต KUBET หลังขึ้นเครื่องบิน หรืออยู่ในที่เงียบมาก แต่หากอาการเกิดซ้ำหรือกระทบชีวิตประจำวัน ควรตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง

สาเหตุรายละเอียด
เสียงดังเกินไปเกิดหลังดูคอนเสิร์ต ใช้หูฟังดังมาก หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมเสียงดัง ทำให้เซลล์ขนในหูชั้นในอ่อนล้า
ความดันอากาศเปลี่ยนมักเกิดตอนขึ้น–ลงเครื่องบิน ดำน้ำ หรือขึ้นที่สูง ทำให้ท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ
ขี้หูอุดตันขี้หูแข็งตัวหรือดันลึกเกินไป ทำให้ปิดกั้นช่องหูและก่อให้เกิดเสียงหึ่ง ๆ
การติดเชื้อหรืออักเสบในหูเช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไข้หวัด คัดจมูก ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของท่อยูสเตเชียน
ความเครียด นอนไม่พอระบบประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้เกิดเสียงหูเองแม้ไม่มีเสียงจริง
ปัญหาการไหลเวียนเลือดเช่น ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ทำให้ได้ยินเสียงชีพจรในหู
โรคประสาทหูเสื่อมโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือคนที่เคยได้ยินเสียงดังเรื้อรัง
อาการที่เกี่ยวกับขากรรไกร (TMJ)การนอนกัดฟัน ข้อต่อขากรรไกรผิดปกติ ส่งผลถึงระบบหู ทำให้เกิดเสียงในหู

สาเหตุที่ควรระวัง อาการหูอื้ออาจบอกโรคสำคัญ

จากข้อมูลของ American Tinnitus Association (ATA) ชี้ว่ามากกว่า 15% ของประชากรในสหรัฐเคยมีอาการหูอื้อ โดยกว่า 20 ล้านคนมีอาการไม่หายขาด KUBET และ 2 ล้านคนมีอาการรุนแรงจนใช้ชีวิตลำบากผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาการหูอื้อไม่ใช่โรค แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ของความผิดปกติหลายประการ เสียงที่ได้ยินแตกต่างกันในแต่ละคน เช่น เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงหวีด KUBET หรือเสียงกรอบแกรบเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน KUBET ควรตรวจร่างกายหากอาการหูอื้อเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวันหรือรุนแรงขึ้น

9 สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อ

1. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน

เสียงดังระดับสูงสามารถทำลายเซลล์ขนภายในหู KUBET ทำให้เกิดเสียงหึ่งหรือเสียงแหลมในหูโดยเฉพาะอาชีพที่มีความเสี่ยง เช่น งานก่อสร้าง โรงงาน ทหาร นักดนตรี หรือผู้ชอบยิงปืนเป็นงานอดิเรก หากเซลล์ขนถูกทำลายจนเสื่อม จะเกิดการได้ยินลดลงร่วมกับอาการหูอื้อ

2. การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ

อุบัติเหตุที่กระแทกศีรษะหรือคอ เช่น อุบัติเหตุรถยนต์ การล้ม หรือแรงระเบิด KUBET สามารถทำให้เส้นประสาทการได้ยินและโครงสร้างภายในหูเสียหาย ส่งผลให้เกิดอาการหูอื้อได้บ่อย โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด (TBI)

3. การอุดตันในหู

ขี้หูอุดตัน สิ่งแปลกปลอม หรือในบางกรณีมีเนื้องอกในช่องหู KUBET อาจสร้างแรงกดและทำให้เกิดเสียงหึ่งในหู เมื่อสิ่งอุดตันถูกนำออก อาการมักจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

4. หูอื้อจากอาการคัดจมูกหรือไซนัสอักเสบ

การติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือไซนัสอักเสบทำให้แรงดันในหูชั้นกลางผิดปกติ กระตุ้นให้เกิดอาการหูอื้อ เมื่อการอักเสบลดลง อาการมักจะดีขึ้นเช่นกัน

5. ผลข้างเคียงจากยา

ยาบางชนิดมีฤทธิ์ทำลายเซลล์ขนในหู เช่น

  • ยาเคมีบำบัด (เช่น Cisplatin)
  • ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Aminoglycosides
  • ยาขับปัสสาวะ Loop Diuretics

หากสงสัยว่าอาการเกิดจากยา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาให้เหมาะสม

6. ปัญหาข้อต่อขากรรไกร (TMJ)

อาการปวดขากรรไกร เสียงลั่นขณะอ้าปาก หรือปวดหน้าร่วมกับหูอื้อ บ่งชี้ว่าปัญหาอาจเกิดจากข้อต่อขากรรไกรที่ทำงานผิดปกติ เนื่องจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อในบริเวณนี้เชื่อมโยงกับหู

7. ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงต่ออาการหูอื้อ เนื่องจากหูชั้นในต้องการเลือดและออกซิเจนอย่างสม่ำเสมอ หากระดับน้ำตาลไม่คงที่ อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทการได้ยิน

8. อายุที่เพิ่มขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ประสาทการได้ยินเสื่อมลง ทำให้เกิดอาการหูอื้อร่วมกับการได้ยินลดลง โดยมักเริ่มพบตั้งแต่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป

9. โรคของหูชั้นใน เช่น โรคเมเนียร์ (Ménière’s disease)

ผู้ป่วยอาจมีอาการหูอื้อแบบเสียงต่ำ ปวดแน่นในหู ร่วมกับเวียนศีรษะบ้านหมุน เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของน้ำภายในหูชั้นใน ต้องดูแลต่อเนื่องร่วมกับแพทย์

6 วิธีบรรเทาอาการหูอื้อที่ทำได้ทันที

1. การบำบัดด้วยเสียง (Sound Therapy)

ช่วยปิดบังเสียงหูอื้อด้วยเสียงรอบข้าง เช่น เสียงพัดลม เสียงน้ำ หรือเสียงธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้สมองไม่โฟกัสที่เสียงรบกวนในหู

2. ใช้อุปกรณ์ช่วยจัดการเสียงรบกวน

ในผู้ที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำอุปกรณ์เฉพาะทางเพื่อลดความรู้สึกของเสียงในหู เช่น เครื่องสร้างเสียง White Noise

3. แก้ไขต้นเหตุ เช่น เอาสิ่งอุดตันออก

หากสาเหตุเกิดจากแรงกด ขี้หูอุดตัน หรือคัดจมูก เมื่อแก้ไขต้นตอได้ อาการมักหายไปเอง

4. รักษาปัญหา TMJ หรือส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ

ผู้มีปัญหาขากรรไกรควรรักษาอย่างถูกวิธี เช่น ใส่เฝือกสบฟัน ลดการเคี้ยวของเหนียว KUBET หรือทำกายภาพขากรรไกร

5. ใช้เครื่องช่วยฟัง

ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีการได้ยินลดลงอาจดีขึ้นมากเมื่อใช้เครื่องช่วยฟัง เนื่องจากลดความเงียบที่ทำให้เสียงหูอื้อเด่นชัด

6. ปรับพฤติกรรมและอาหาร

หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารเค็ม ลดความเครียด นอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้ระบบประสาทสงบลงและอาการดีขึ้น

Q&A

1. อาการหูอื้อคืออะไร และควรเริ่มกังวลเมื่อใด?

ตอบ: อาการหูอื้อคือการได้ยินเสียงในหูหรือศีรษะ ทั้งที่ไม่มีเสียงภายนอก เช่น เสียงหึ่ง เสียงหวีด หรือเสียงจิ้งหรีด หากเกิดขึ้นชั่วคราวจากเสียงดังหรือการเปลี่ยนความดันมักไม่อันตราย แต่หากเป็นต่อเนื่องหลายวัน เกิดซ้ำบ่อย หรือรบกวนการใช้ชีวิต ควรเข้ารับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

2. สาเหตุใดบ้างที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อได้บ่อยที่สุด?

ตอบ: ปัจจัยที่พบได้บ่อยคือการอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ ขี้หูอุดตัน อาการคัดจมูกหรือไซนัสอักเสบ ผลข้างเคียงจากยา ปัญหาขากรรไกร TMJ ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ อายุที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโรคของหูชั้นในอย่างโรคเมเนียร์

3. อาการหูอื้อจากยาอันตรายหรือไม่ และควรทำอย่างไร?

ตอบ: ยาบางชนิด เช่น เคมีบำบัด ยาปฏิชีวนะกลุ่ม aminoglycosides หรือยาขับปัสสาวะบางประเภท อาจทำลายเซลล์ขนในหูจนทำให้เกิดหูอื้อ หากสงสัยว่าเกิดจากยา ไม่ควรหยุดยาเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาปรับยาให้เหมาะสม

4. หากอาการหูอื้อเกิดจากข้อต่อขากรรไกร (TMJ) ควรรักษาอย่างไร?

ตอบ: การรักษา TMJ อาจทำโดยการใส่เฝือกสบฟัน ลดการเคี้ยวอาหารเหนียว ทำกายภาพบำบัดบริเวณขากรรไกร หรือให้แพทย์เฉพาะทางประเมินเพิ่มเติม เมื่อข้อต่อทำงานดีขึ้น อาการหูอื้อมักจะลดลง

5. มีวิธีใดที่สามารถช่วยบรรเทาอาการหูอื้อได้ทันที?

ตอบ: วิธีที่ทำได้ทันทีคือใช้การบำบัดด้วยเสียง เช่น เสียงพัดลมหรือเสียงธรรมชาติ ใช้เครื่องสร้างเสียงลดความรำคาญ ตรวจและแก้ไขต้นเหตุ เช่น เอาขี้หูออก รวมถึงปรับพฤติกรรม เช่น ลดคาเฟอีนและอาหารเค็ม นอนพอ ออกกำลังกาย และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบประสาททำงานสมดุลขึ้น



เนื้อหาที่น่าสนใจ: